เทศน์เช้า

พุทธไม่มีพระเจ้า

๓o ธ.ค. ๒๕๔๓

 

พุทธไม่มีพระเจ้า
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๓
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พระเจ้ากับธรรมะเป็นอันเดียวกันหรือเปล่า? แล้วถ้าเราฟังเป็นสมมุตินะ ฟังเป็นสมมุติคือฟังเป็นความยืนยันน่ะ เขาพูดถูก ว่าพระเจ้ามันมีไง เหมือนกับพระเจ้านี่มีว่าให้เราว่ามรรคผลนิพพานมี แต่ถ้าบอกว่าพระเจ้ากับธรรมะเป็นอันเดียวกันหรือเปล่า หรือว่ามีส่วนต่างกันอย่างไร?

ในปริยัตินี่ ในภาคปริยัตินะพระพุทธเจ้าปฏิเสธหมดเลย พระพุทธเจ้าปฏิเสธพระเจ้าทั้งหมด ปฏิเสธทั้งหมดเลย เพราะพระเจ้านั้น ถ้ามีพระเจ้ามันเป็นการอ้อนวอน เห็นไหม มีพระเจ้า มีทิศมุ่งหมาย เราก็อ้อนวอน เราก็ขอเขา ถ้าเราขอเขา เราต้องทำความพอใจ อย่างเช่นบูชายัญอย่างนี้ เพื่อให้เอาใจพระเจ้าไง เพื่อเอาใจผู้เป็นเจ้า เพื่อเอาใจเขา จะให้เขาเมตตาเรา ให้สร้างสมให้เราเป็นคนดี

แต่ของเราศาสนาเราปฏิเสธตรงนั้นเลย ศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรม การกระทำเท่านั้น ถ้าจะเป็นพระเจ้านะ เราก็เป็นพระเจ้าได้ เราต่างหากนี่เป็นพระเจ้า ดูสิ ดูอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จลงจากดาวดึงส์มา เห็นไหม พระอินทร์เป็นคนอุ้มบาตร เทวดามา พระสารีบุตรตอนจะปรินิพพานไปอยู่ในห้องน่ะ แล้วแสงพุ่งลงมา เห็นไหม จนแม่สงสัยว่าแสงที่พุ่งลงมา อะไรพุ่งลงมา บอกว่า “นี่พระอินทร์ลงมา ลงมาจะอุปัฏฐาก” แล้วบอกว่าไม่ต้อง แม่เข้ามาเห็นลำแสงพุ่งเข้ามา แล้วพอบอกพระอินทร์

“โอ้โห! ลูกเราเก่งขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

บอกแม่ว่า “ไม่ใช่...ไม่ใช่ว่าเราเก่งขนาดนั้นนะ พระอินทร์นี่เป็นเทวดา แต่ลงมานี่จะมาอุปัฏฐาก แต่บอกพระอินทร์นี่ถ้าว่าจะประเสริฐ เขาประเสริฐของเขา แต่ของเขาก็เป็นแค่คนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเหมือนกัน”

“พระพุทธเจ้าเก่งขนาดนี้เชียวเหรอ?”

พอตกตอนดึก พรหมมาอีก เห็นไหม พอพรหมมานี่ แสงมันพุ่งเข้ามาก็เข้ามาหาอีก นี่บอกว่า พระเจ้าไม่มี แต่สิ่งที่เขาเป็นเทวดา เขาเป็นอินทร์ เป็นพรหมนี่ เขาสร้างบุญกุศลได้เขาเป็น เหมือนกัน เราก็เป็นได้ เราสร้างคุณงามความดีนี่ เราก็ไปเป็นเทวดา เราเป็นพระเจ้าเสียเองไง จิตใจของเราเป็นพระเจ้าเสียเอง จิตใจเรานี่ ถ้าเราสร้างคุณงามความดี เราก็ไปเป็นสิ่งนั้นเสียเอง

แต่ขณะปัจจุบันนี้เราเป็นมนุษย์น่ะ เราไม่ต้องไปอ้อนวอนเขา เพราะอะไร? เพราะว่าเราสร้างคุณงามความดี ใจมันเป็น ๆ ว่าสิ่งนั้นมีอยู่ มีอยู่มันหมุนไปเวียนไป ถึงว่าในภาคปริยัตินี่ ก็ปฏิเสธแล้ว ปฏิเสธเรื่องพระเจ้า ปฏิเสธหมดเลย เพราะว่าสิ่งนั้นเป็นนี่ จิตนี้มันมีอยู่ จิตนี้มันเวียนตายเวียนเกิดอยู่ สถานะที่เกิดขึ้นมาเป็นภพเป็นชาติต่าง ๆ นั้น เป็นภพเป็นชาติต่าง ๆ

แล้วจิตที่เป็นเรานี่ เห็นไหม จิตที่เป็นเรานี่เราสร้างบุญกุศลต้องเป็นเราสิ เราสร้างคุณงามความดีมันก็สะสมลงที่ใจเราสิ ใจเรานี่เวลาเกิดตายขึ้นมาก็ไปเป็นเทวดา ไปเป็นอะไร เราเป็น ๆ เห็นไหม เราต่างหากเป็นพระเจ้า เราต่างหากเป็นทุกอย่างที่เราจะเป็น ฉะนั้น เราสร้างคุณงามความดีก็เป็นของเรา เราสร้างบาปอกุศลก็เป็นของเรา เห็นไหม มนุสสเปโต มนุสสเทโว มนุษย์เป็นเทวดาก็มี มนุษย์เปรตก็มีเพราะอะไร? เพราะใจมันเป็น

พอใจมันเป็นนี่ มันก็สะสมไว้ในหัวใจนั้น ๆ เวลาตายไปก็ไปเสวยภพเสวยชาติอย่างนั้น ๆ นี่การกระทำของเรา ในภาคปริยัติ เห็นไหม สร้างคุณงามความดีเป็นคุณงามความดี ในภาคปริยัตินะ นี้ในภาคปฏิบัตินั้นยิ่งไม่มีใหญ่เลย เพราะอะไร? เพราะในภาคปฏิบัติน่ะจิตมันจะสงบเข้าไป ๆ

นี่ถึงว่า ถ้าว่าเป็นพระเจ้า พระเจ้านั้น เห็นไหม ที่เขาว่าเป็นฮินดูนี่ เป็นอาตมันใหญ่ เป็นอาตมันเล็ก เราเกิดขึ้นมาแล้วเราต้องสร้างไปตรงนั้น ถ้าสิ่งที่เป็นอาตมัน สิ่งที่เป็นอัตตานี่ คือว่านิพพานเป็นอัตตาไหม หรือว่าเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตานี่ ธรรมะนี้เป็นอนัตตา สิ่งที่เวียนไปนี่มันเป็นอนัตตา อนัตตานี่เป็นหลักของธรรม

สัจธรรม เห็นไหม ธรรมคืออนัตตา แล้วพระเจ้าคืออาตมันก็อยู่ไม่ได้ เพราะสิ่งที่มันคงอยู่น่ะมันต้องแปรสภาพหมด มันคงอยู่ มันไม่มีสิ่งใดคงที่อยู่ เป็นไปไม่ได้เลย มันไม่มี นี่เวลาปฏิบัติไป อัตตามันก็ไม่มี อนัตตานั้นคือธรรม ธรรมคือว่าถ้าธรรมเป็นอนัตตาหมด เราเป็นชาวพุทธนี่ เราต้องเห็นอนัตตาสิ เราต้องเข้าใจเรื่องของธรรมสิ เราต้องวางทุกข์ได้สิ ทำไมเราวางทุกข์ไม่ได้ล่ะ?

เราวางทุกข์ไม่ได้เพราะว่า จิตของเรานี่มันไม่ได้เคลื่อนเข้าไปในอริยสัจ เห็นไหม มันไม่ได้เคลื่อนเข้าไปในอนัตตาอันนั้น อนัตตานี่ อริยสัจนี่เป็นอนัตตา ทุกข์ สมุทัย เห็นไหม สมุทัยเกิดดับ นี่มันแปรสภาพ มันเคลื่อนไป มันหมุนไปวงรอบหนึ่ง พอหมุนไปวงรอบหนึ่ง จิตมันเข้าไปในนั้น มันเข้าไปเห็น เราต้องสร้างขึ้นมาไง

คือว่าถ้าธรรมนี่มันเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ มันเป็นโดยธรรมชาตินี่ เราก็ต้องรู้ตามทัน เพราะเราเป็นชาวพุทธ เราปฏิญาณถึงตรงนั้นด้วย เห็นไหม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งของเรา แต่ทำไมเราเข้าไม่ถึงตรงนั้น? เราเข้าไม่ถึงเพราะธรรมนี้มันเป็นธรรมชาติอยู่ แต่หัวใจของเรานี่กิเลสมันปกคลุมอยู่ มันไม่เข้าถึงธรรม เราต้องสร้างขึ้นมาไง เราต้องสร้างธรรมขึ้นมา เห็นไหม

ธรรมะกับธรรมชาติเป็นอันเดียวกันหรือเปล่า มันอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า แล้วเราศึกษาไป ๆ ศึกษาไปมันก็สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา มันหมุนตามไป มันหมุนตามธรรมชาติไป พอภาวนาเข้าไปมันจะเห็นว่า สิ่งนั้นไม่มี พระเจ้าที่เป็นคงที่ก็ไม่มี ทีนี้ถ้าไม่มีแล้วนิพพานล่ะ? เพราะว่านิพพานมันเหนือตรงนั้นทั้งหมด เหนือตรงนั้นหมายถึงว่านิพพานพูดไม่ได้ไง

ถึงว่าถ้าเขาไปตอบตามเขา ไปตอบว่าพระเจ้ามีอยู่ มันก็เป็นนิพพาน เป็นอัตตา เป็นอาตมันตัวนั้น ก็ตัวนั้นเคลื่อนไป ๆ เพราะมีอยู่ เห็นไหม ถึงว่าปฏิเสธทั้งหมด ปฏิเสธแม้แต่เหตุ แล้วปฏิเสธผลน่ะเหตุมันเป็นไปไม่ได้ เหตุมันต้องสรรพสิ่งโลกนี้เป็นอนิจจัง ทุกอย่างนี่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่ามันต้องแปรสภาพทั้งหมด มันแปรสภาพตลอด

ทีนี้มันแปรสภาพนี่มันแปรสภาพตามธรรมชาติของมัน แต่เพราะว่าเราเข้าธรรมะพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประเสริฐตรงนี้ไง เรื่องนิพพานนี่คือเข้าไปเห็นความแปรสภาพหนึ่ง เห็นความแปรสภาพของตัวเองหนึ่ง นี่เราเข้าไปเห็นความแปรสภาพหรือว่าเราก็เห็นธรรมชาติแปรสภาพ แล้วเราเห็นความแปรสภาพของใจอีกหนึ่ง เห็นไหม แม้แต่ใจตัวเองมันก็ทิ้งไง

คือว่าตัวที่ว่าเป็นพระเจ้า ๆ ที่มันเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี่ มันก็ต้องทิ้งตัวมันเอง สุดท้ายแล้วมันก็ทิ้งตัวมันเอง มันถึงว่าไม่มีพระเจ้าเลย แล้วไม่มีพระเจ้านิพพานเป็นอะไร? นิพพานเป็นที่สิ้นสุด เป็นเป้าหมายของศาสนา ถึงว่านิพพานเป็นความพอของใจดวงนั้น ไม่ใช่พระเจ้า ฉะนั้นนิพพานถึงเกิดจากดวงใจของเราเอง เรากำหนดได้ เราทำได้น่ะ เราเหนือที่สุด เห็นไหม

ถึงว่า อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ พระพุทธเจ้าสอนลงที่ใจของพวกเรา สอนลงการกระทำของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นถึงประเสริฐที่สุดไง นี่พระพุทธเจ้าสอนให้เชื่อกรรม เชื่อการกระทำ ศาสนาพุทธสอนเรื่องกรรม เรื่องการกระทำ สิ่งที่ว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งที่เป็นพระเจ้าเป็นอะไรไปน่ะ เราบอก “เราจะพูดอย่างนั้นก็ได้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วมีอยู่”

นี่ท่านเกิดขึ้นมา เห็นไหม เกิดขึ้นมาจากกรรม กระแสกรรมผลักไสขึ้นมานั่นล่ะ แล้วสร้างคุณงามความดีอยู่ ได้ของขวัญมา ได้คุณงามความดีสร้างสมมา แล้วมาประพฤติปฏิบัติ จนหลุดพ้นออกไป แล้วว่ามีอยู่ไหม? มีอยู่ แต่มีอยู่แล้วใครจะไปสืบตรงนั้นได้ ใครจะเข้าไปจับต้องได้ เว้นไว้แต่ เห็นไหม เว้นไว้แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจนเข้าไป จิตนี้เข้าไปถึงธรรม

ถ้าจิตเข้าถึงธรรม เห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” ฟังสิ นี่ถ้าเห็นธรรม เห็นตถาคต แต่ไม่เห็นพระเจ้า เห็นไหม เห็นธรรมคือเห็นตถาคต เห็นในหัวใจของเรา ธรรมอันนี้เหนือทั้งหมด เหนือธรรมชาติทั้งหมด ฉะนั้นว่าธรรมะกับธรรมชาติ แล้วธรรมะกับพระเจ้าอันเดียวกันหรือเปล่า?

ถ้าเราไปติดตรงนั้นน่ะมันก็อยู่ในตรรกะ อยู่ในวิทยาศาสตร์ ในตรรกะที่จะนึก จะจินตนาการได้ ความที่จินตนาการได้ ตรรกะนี้อยู่ในอุ้งอำนาจของกิเลส เพราะความกิเลสเป็นเรา ตรรกะนี้เราคิดขึ้นมา เราจินตนาการขึ้นมา เพราะเป็นตรรกะ เอาตรรกะไปจับ ศาสนาก็สอนไว้แล้วว่าตรรกะจับไม่ได้ ธรรมะนี้แม้แต่ตรรกะก็จับไม่ได้ เข้าถึงไม่ได้ด้วยตรรกะ เข้าถึงไม่ได้ทุกอย่างเลย เข้าถึงด้วยมรรคอริยสัจจังเท่านั้น เข้าถึงด้วยหัวใจที่มันเข้าไปสัมผัสเข้าไป เห็นไหม

นี่ถึงว่า ใจที่สัมผัสนี้เกิดจากอะไร? เกิดจากการกระทำใช่ไหม? เกิดจากเราก้าวเดินเข้าไปใช่ไหม ก้าวเดินเข้าไปในทางอะไร? ก้าวเดินเข้าไปในทางอริยมรรคไง ก้าวเดินตามอริยมรรคเข้าไป อริยมรรคเกิดขึ้นที่ไหน? เขาก็มองกันนะ พระเขาตอบในทีวีฟังไม่ได้เลย ฟังบอกว่าเขาไปดูในทางยุโรปนี่ เขามีสัมมาทิฏฐิ เขามีความเห็นมาก มรรคเขาดีกว่าเรา... พระมองแค่นั้นไง เขาบอกทางฝรั่งฉลาดกว่าเรา พอฝรั่งเขาฉลาด เขาควรจะได้มรรคผลมากกว่าเราชาวพุทธด้วย เขาว่าอย่างนั้นนะ

นี่คนไม่ปฏิบัติไง ไอ้มรรคอย่างนั้นน่ะสัมมาอาชีวะ วิชาชีพ เห็นไหม วิชาชีพมันไม่ใช่วิชาฆ่ากิเลส นี่ไปมองแค่สัมมาอาชีวะ เขาเป็นคนดี เขามีปัญญา มองวิชาโลกไง ปัญญาอันนี้เป็นปัญญากิเลสพาใช้นะ เขามีปัญญาขนาดไหน เขาก็ต้องมีความเห็นแก่ตัวในหัวใจของเขา ความเห็นแก่ตัวภายในนี่ ถ้าเขาทำอะไรนี่เขาต้องเป็นฝ่ายชนะ เขาต้องเป็นฝ่ายอะไรไป เห็นไหม อันนี้นี่มรรคหยาบ ๆ ไง

การดำรงชีวิตนี่ การที่ว่าในศาสนาก็สอนอยู่ ผู้ที่มีปัญญา เห็นไหม คนโง่นี่เป็นเหยื่อของคนฉลาด คนโง่นี่ไม่ทันเขา คนที่ฉลาดในโลกนี่จะแสวงหาผลประโยชน์ในโลกนี้ได้มากมายเลย สมบัตินี้เป็นสมบัติผลัดกันชม สมบัติเป็นสาธารณะ เรามีวิชาการเราสามารถจะตักตวงสมบัติในโลกนี้เอาเป็นของเราได้ทั้งหมดถ้าเรามีปัญญา แต่ตักตวงได้ขนาดไหนก็แล้วแต่ มันแก้ทุกข์ได้ไหม?

มันแก้ทุกข์ไม่ได้ไง ถึงไปมองแค่มรรคหยาบ ๆ มรรคความเห็นว่าวิชาชีพนี่ ถ้ามีวิชาชีพต้องเป็นคนดีหมด...ไม่ใช่ คนที่ฉลาดต้องเป็นคนดีด้วย คนที่ฉลาดแล้วมีศีลธรรม เห็นไหม คนที่ฉลาดแล้วคนที่มีศีลธรรม คนที่มีคุณธรรมในหัวใจนี่ เขาฉลาดด้วย เขาเอาตัวเขารอดได้ด้วย แล้วเขายังเจือจานเผื่อแผ่กับสังคมโลกอีกต่างหาก ถ้าคนที่เขาดีเขาจะเจือจานสังคมโลกไป นั่นน่ะวิชาชีพเขา ถ้าใจเขาดีขึ้นมา

ถ้าใจเขาดีนี่ แล้วเขามีความฉุกคิดขึ้นมา เขาจะย้อนเข้ามาในหัวใจ มรรคของเราคือการเลี้ยงไอ้นี่ อารมณ์ที่ใจมันสัมผัสอารมณ์นี่ นี่มรรคจะเกิดตรงนี้ อารมณ์ชอบไง กินอาหารชอบ เลี้ยงใจชอบ ถ้าใจมโนกรรม ใจเมตตาปราณี ใจช่วยเหลือโลกนี่ เห็นไหม ความคิดนี่ อารมณ์มันก็มีความสุข ถ้าใจคิดพยาบาทมาดร้าย ใจคิดจะทำลายเขา ใจคิดจะเอาเปรียบเห็นแก่ตัวนี่

นี่มันต้องเป็นมรรคตัวนี้ นี่มรรคตัวนี้ยังเป็นมรรคกลาง เห็นไหม มรรคหยาบ มรรคกลาง มรรคละเอียดเข้าไป ตัวนี้มันเป็นอาการของใจที่จะเข้ามาหาความสงบภายในใจ มรรคในหัวใจมันจะเคลื่อนไปโดยธรรมชาติของมัน ธรรมจักรที่ว่าไม่มีใครเคยเห็น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ขึ้นมา พระพุทธเจ้าหาขึ้นมาค้นคว้าขึ้นมา เจอเองเห็นเอง แล้วชำระกิเลสไปได้เอง นี่ต่างหาก มรรคตัวนี้ต่างหากมันถึงจะเป็นประโยชน์ในศาสนา

ในศาสนาภาวนามยปัญญานี่ประเสริฐสุด แต่ไปมองตรงนั้น พอมองตรงนั้นแล้วก็ทึ่ง พอทึ่งเขาถึงว่าต้องเป็นไปตามเขา ทึ่งเขา ทึ่งแต่ความหยาบ ๆ ไม่ทึ่งในความละเอียด ถึงบอกว่า ตามเขาไปเลยว่าพระเจ้าต้องเป็นอย่างนั้น แล้วก็ตอบไม่ได้ว่านิพพานเหนือกว่า ความเป็นนิพพาน ความเป็นศาสนา ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของศาสดาผู้สิ้นกิเลส ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วจะเข้าใจเรื่องของกิเลส จะเห็นช่องทางของการก้าวเดินออกไปพ้นจากกิเลสทั้งหมด

แต่ศาสดาที่ไม่พ้นจากกิเลส ศาสดาคืออย่างเรานี่ พวกเรานี่มีกิเลส มันก็ต้องจินตนาการ ตรรกะทั้งหมดใช่ไหม แล้วเอาตรรกะมาพูดน่ะ แล้วมันเข้ากับสมมุติน่ะ เราจินตนาการตรรกะตามนี่ เราฟังเราก็ทึ่งน่ะ “โอ๊...เหตุผลเขาฟังได้ ๆ” เหตุผลของชาวพุทธอะไรก็เชื่อกรรม อะไรก็คือการกระทำ แล้วว่านิพพานนี้ก็รู้เฉพาะผู้ที่รู้จริง รู้ไม่จริงพูดไม่ได้

อันนั้นถ้ามันพูดได้ไม่ได้มันเป็นธรรมะที่อนัตตานี่ เป็นฝ่ายเหตุ เห็นไหม พระพุทธเจ้าให้พูดถึงฝ่ายเหตุ ให้พูดถึงฝ่ายมรรค ให้พูดถึงเหตุ แล้วผลไม่ต้องไปพูดถึงมัน ถ้าเราไปจินตนาการผล แล้วเหตุอยู่ที่ไหน เขาพูดกันแต่ผลของมันไง ผลคือพระเจ้า ผลคือความสุขอันนั้น แต่เหตุของเขาทำเข้าไปได้อย่างไร เหตุคือความเชื่อเฉย ๆ แล้วเข้าถึงไม่ได้ ที่เขาพูดกันน่ะ เหตุคือความเชื่อ เชื่ออย่างเดียวแล้วให้ความเชื่อนั้นแล้วก้าวเดินความเชื่อนั้น มีแต่ความเชื่อแต่ผลไม่มี

แต่ของเรานั้นมีแต่เหตุ พระพุทธเจ้าสอนเรื่องเหตุ แล้วเราสาวถึงเหตุ เลยทำให้พวกเรานี่ฉลาด ชาวพุทธต้องมีการขวนขวาย ต้องมีการอะไรนี่ มันไม่เหมือนกับการขอเอา เห็นไหม ถึงบอกว่าพระเจ้าของเราคือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ตรัสรู้ไปแล้ว พระเจ้านะ แต่พระเจ้าที่ว่าเรายึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วสุดท้ายแล้ว “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

พุทโธคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทโธคือหัวใจของเรา หัวใจของเราเป็นทุกอย่างที่มันหมุนเวียนไป แล้วแต่กรรม แล้วแต่กุศลและอกุศลเกิดขึ้นจากใจของเรา เราถึงต้องพยายามดัดตนให้เข้าในกระแสของธรรม ถ้ากระแสของธรรมเราก็เอาตัวเรารอดได้ ฉะนั้นว่าการกระทำของเรา เราเชื่อเราทั้งนั้น ไม่ต้องเชื่อพระเจ้าอย่างเขา เอวัง